ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
…………………………………………………
…………………………………………………
…………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ
ของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “ทำซ้ำ” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน
“ทำซ้ำ” หมายความรวมถึง คัดลอก เลียนแบบ ทำสำเนา ทำแม่พิมพ์ บันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกเสียงและภาพ จากต้นฉบับ จากสำเนา จากการเผยแพร่ต่อสาธารณชนหรือจากสื่อบันทึกใด ไม่ว่าด้วยวิธีหรือรูปแบบใดๆ ในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ โดยไม่มีลักษณะเป็นการจัดทำงานขึ้นใหม่ ทั้งนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน
“เผยแพร่ต่อสาธารณชน” หมายความว่า ทำให้ปรากฏต่อสาธารณชน โดยการแสดง การบรรยาย การสวด การบรรเลง การทำให้ปรากฏด้วยเสียงและหรือภาพ การก่อสร้าง รวมถึงการทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนในลักษณะที่บุคคลสามารถเข้าถึงงานนั้นได้ ณ เวลา และสถานที่ ที่บุคคลนั้นเลือก หรือทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนโดยวิธีอื่นซึ่งงานที่ได้จัดทำขึ้น
มาตรา ๕ ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “จำหน่าย” คำว่า “ข้อมูลการบริหารสิทธิ” และคำว่า “มาตรการทางเทคโนโลยี” ระหว่างบทนิยามคำว่า “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” และคำว่า “การโฆษณา” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“จำหน่าย” หมายความว่า ขาย แจก แลกเปลี่ยน ให้ หรือโอนกรรมสิทธิ์ด้วยวิธีอื่นซึ่งต้นฉบับหรือสำเนางานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
“ข้อมูลการบริหารสิทธิ” หมายความว่า ข้อมูลที่แสดงให้ปรากฏอยู่ในงานอันมีลิขสิทธิ์ หรือในการแสดงที่ได้บันทึกไว้แล้ว โดยระบุชื่อผู้สร้างสรรค์ งานสร้างสรรค์ นักแสดง การแสดง และเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง หรือโดยระบุระยะเวลาและเงื่อนไขการใช้ลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง และตัวเลขหรือรหัสแทนข้อมูลดังกล่าว
“มาตรการทางเทคโนโลยี” หมายความว่า เทคโนโลยี อุปกรณ์ หรือส่วนประกอบ ซึ่งในทางการใช้งานโดยปกติ ได้ถูกออกแบบมาสำหรับป้องกันหรือควบคุมการกระทำใดๆ แก่งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวง และกำหนดกิจการอื่น เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้”
มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๙ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๔ เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว ดังต่อไปนี้
(๑) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(๒) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(๓) จำหน่ายครั้งแรกซึ่งต้นฉบับ หรือสำเนางาน
(๔) ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง
(๕) ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
(๖) อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดหรือไม่ก็ได้ แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะกำหนดในลักษณะที่เป็นการจำกัดการแข่งขันโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้
การพิจารณาว่าเงื่อนไขตามวรรคหนึ่ง (๖) จะเป็นการจำกัดการแข่งขันโดย
ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๖ ในกรณีที่เจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ได้อนุญาตให้ผู้ใดใช้สิทธิตามมาตรา ๑๕ (๖) ย่อมไม่ตัดสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธินั้นได้ด้วย เว้นแต่หนังสืออนุญาตได้ระบุเป็นข้อห้ามไว้”
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๘ ผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้มีสิทธิที่จะแสดงว่าตนเป็นผู้สร้างสรรค์งานดังกล่าว และมีสิทธิที่จะห้ามมิให้ผู้รับโอนลิขสิทธิ์หรือบุคคลอื่นใด
บิดเบือน ตัดทอน ดัดแปลงหรือทำโดยประการอื่นใดแก่งานนั้นจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง
หรือเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์ และเมื่อผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ทายาทของผู้สร้างสรรค์
มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับตามสิทธิดังกล่าวได้ตลอดอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ เว้นแต่
จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น เป็นลายลักษณ์อักษร
สิทธิของผู้สร้างสรรค์ตามวรรคหนึ่ง ไม่สามารถโอนให้แก่กันได้ เว้นแต่เป็น การโอนทางมรดก”
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๐ แห่ง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ มาตรา ๒๗ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
นี้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๕ (๖) ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(๑) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(๒) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(๓) จำหน่ายครั้งแรกซึ่งต้นฉบับ หรือสำเนางานดังกล่าว
มาตรา ๒๘ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ หรือสิ่งบันทึกเสียงอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๕ (๖) ทั้งนี้
ไม่ว่าในส่วนที่เป็นเสียงและหรือภาพ ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(๑) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(๒) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(๓) จำหน่ายครั้งแรกซึ่งต้นฉบับ หรือสำเนางาน
(๔) ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานดังกล่าว
มาตรา ๓๐ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่โปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๕ (๖) ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(๑) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(๒) เผยแพร่ต่อสาธารณชน
(๓) จำหน่ายครั้งแรกซึ่งต้นฉบับ หรือสำเนางาน
(๔) ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานดังกล่าว”
มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๒/๑ และมาตรา ๓๒/๒ แห่ง
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๓๒/๑ การทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ ในลักษณะ
ดังต่อไปนี้ มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
(๑) อันเกิดจากกระบวนการในการส่งข้อมูลงานลิขสิทธิ์ทางระบบดิจิตอล หรือเป็นการทำให้งานลิขสิทธิ์ที่บันทึกไว้ในรูปดิจิตอลสามารถเข้ารับรู้ได้
(๒) โดยบุคคลซึ่งได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์หรือมีสิทธิตามกฎหมายให้ส่งข้อมูลงานลิขสิทธิ์ทางระบบดิจิตอล หรือเป็นการทำให้งานลิขสิทธิ์ที่บันทึกไว้ในรูปดิจิตอลสามารถเข้ารับรู้ได้ และ
(๓) เป็นผลจากการทำงานตามปกติของอุปกรณ์ที่ใช้และมีการลบสำเนาที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่สามารถเรียกสำเนางานดังกล่าวกลับคืนมาเพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้อีก
นอกจากที่ระบุไว้ในข้อ (๑) และ (๒)
มาตรา ๓๒/๒ การกระทำแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น โดยผู้ให้บริการ หากผู้ให้บริการไม่ได้เป็นผู้ควบคุม ริเริ่ม หรือสั่งการให้มีการกระทำดังกล่าว มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
คำว่า “ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
๑. ผู้ให้บริการส่งผ่าน หรือเชื่อมต่อข้อมูลเพื่อการสื่อสารผ่านระบบดิจิตอล ระหว่างจุดที่กำหนดโดยผู้ใช้งาน โดยมิได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของข้อมูลที่ผู้ใช้รับหรือส่ง
๒. ผู้ให้บริการแก่บุคคลทั่วไปในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือผู้อำนวยความสะดวกโดยประการอื่นในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ต
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง”
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.๒๕๓๗ และให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๔๔ นักแสดงย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของตนดังต่อไปนี้
(๑) เผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึกไว้
(๒) บันทึกการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึกไว้แล้ว
(๓) ทำซ้ำซึ่งสิ่งบันทึกการแสดงไม่ว่าโดยวิธีการใดหรือในรูปแบบใด
(๔) จำหน่ายครั้งแรกซึ่งต้นฉบับหรือสำเนาสิ่งบันทึกเสียงการแสดง
(๕) ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนาสิ่งบันทึกเสียงการแสดง
(๖) เผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งสิ่งบันทึกเสียงการแสดง ในลักษณะที่บุคคลสามารถเข้าถึงงานนั้นได้ ณ เวลาและสถานที่ที่บุคคลนั้นเลือก
(๗) อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใด หรือไม่ก็ได้ แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะกำหนดในลักษณะที่เป็นการจำกัด
การแข่งขันโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้
การพิจารณาว่าเงื่อนไขตามวรรคหนึ่ง (๗) จะเป็นการจำกัดการแข่งขันโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดในกฎกระทรวง”
มาตรา ๑๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
“มาตรา ๔๔/๑ ในกรณีที่นักแสดงได้อนุญาตให้ผู้ใดใช้สิทธิตามมาตรา ๔๔ (๗) ย่อมไม่ตัดสิทธิของนักแสดงที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธินั้นได้ด้วย เว้นแต่ในหนังสืออนุญาตได้ระบุเป็นข้อห้ามไว้”
มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๔๗ ให้นักแสดงมีสิทธิในการแสดงตามมาตรา ๔๔ หากเป็นไป
ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) นักแสดงนั้นมีสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือกรณี
สิ่งบันทึกเสียงการแสดง นักแสดงมีสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ในขณะที่มี
การบันทึกเสียงการแสดงนั้น หรือในขณะที่เรียกร้องสิทธิ
(๒) การแสดงหรือส่วนใหญ่ของการแสดงนั้นเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี อยู่ด้วย
(๓) การแพร่เสียงแพร่ภาพการแสดงทำในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
(๔) การบันทึกเสียงการแสดงหรือส่วนใหญ่ของการบันทึกเสียงการแสดงนั้นเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรือ
(๕) การโฆษณาครั้งแรกซึ่งสิ่งบันทึกเสียงการแสดงได้กระทำขึ้นในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรือในกรณีที่การโฆษณาครั้งแรกได้กระทำนอกราชอาณาจักรหรือในประเทศอื่นที่ไม่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
หากได้มีการโฆษณาดังกล่าวในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก”
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๔๘ ให้นักแสดงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามมาตรา ๔๕ หากเป็นไป
ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) นักแสดงมีสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ในขณะที่มีการบันทึกเสียงการแสดงนั้น หรือในขณะที่เรียกร้องสิทธิ
(๒) การบันทึกเสียงการแสดงหรือส่วนใหญ่ของการบันทึกเสียงการแสดงนั้นเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรือ
(๓) การโฆษณาครั้งแรกซึ่งสิ่งบันทึกเสียงการแสดงได้กระทำขึ้นในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรือในกรณีที่การโฆษณาครั้งแรกได้กระทำนอกราชอาณาจักรหรือในประเทศอื่นที่ ไม่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หากได้มีการโฆษณาดังกล่าวในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วย การคุ้มครองสิทธิของนักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้มี การโฆษณาครั้งแรก”
มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๕๓ ให้นำมาตรา ๑๘ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๒/๑ มาตรา ๓๒/๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ มาบังคับใช้แก่สิทธิ
ของนักแสดงโดยอนุโลม”
มาตรา ๑๖ ให้เพิ่มมาตราต่อไปนี้เป็นหมวด ๒/๑ การคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี มาตรา ๕๓/๑ มาตรา ๕๓/๒ มาตรา ๕๓/๓ มาตรา ๕๓/๔ มาตรา ๕๓/๕ และมาตรา ๕๓/๖
“หมวด ๒/๑
การคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี
มาตรา ๕๓/๑ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้เกี่ยวกับข้อมูลการบริหารสิทธิโดยไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าว และรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าจะชักจูงหรือทำให้เกิดการละเมิด ให้ความสะดวกแก่การละเมิด หรือปกปิดการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิตาม
พระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๑) ลบ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิ
(๒) จำหน่าย หรือนำเข้าเพื่อการจำหน่ายสิ่งที่ใช้แสดงข้อมูลการบริหารสิทธิ โดยรู้อยู่แล้วว่าได้มีการลบ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิโดยผู้ไม่มีอำนาจ
(๓) จำหน่าย นำเข้าเพื่อการจำหน่าย หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ โดยรู้อยู่แล้วว่าได้มีการลบ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิโดยผู้ไม่มีอำนาจ
มาตรา ๕๓/๒ การกระทำเกี่ยวกับข้อมูลการบริหารสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานเจ้าหน้าที่หรือคู่สัญญาเพื่อวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมาย
การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ และรักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่คล้ายคลึงกันของทางราชการมิให้ถือเป็นการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕๓/๓ ห้ามมิให้มีการหลีกเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีที่ใช้ควบคุม การเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์ หรือสิทธิของนักแสดง
การหลีกเลี่ยงแก่มาตรการทางเทคโนโลยีที่ใช้ควบคุมการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตามพระราชบัญญัตินี้ หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์ตามปกติของ
เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร มิให้ถือว่าเป็นความผิด
ภายใต้บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อหลีกเลี่ยง
มาตรการทางเทคโนโลยี มิให้ถือว่าเป็นการกระทำละเมิด ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(๑) การกระทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นในครอบครัวหรือญาติสนิท
(๒) ติชม วิจารณ์ หรือแนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น
(๓) เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น
(๔) การทำให้ปรากฏโดยผู้สอนเพื่อประโยชน์ในการสอนของตน อันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร
(๕) การนำงานนั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถามและตอบในการสอบ
(๖) การทำวิศวกรรมย้อนกลับโดยสุจริต ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะให้สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่นที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาโดยอิสระต่างหากได้
(๗) การกระทำโดยสุจริต โดยผู้วิจัยซึ่งได้รับสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงมาโดยชอบด้วยกฎหมาย และได้ใช้ความพยายามโดยสุจริตในการขออนุญาตเพื่อการวิจัยดังกล่าวแล้ว โดยการวิจัยนั้นมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่จำเป็นเพื่อชี้และวิเคราะห์ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของเทคโนโลยีการเข้าสัญญาณและถอดสัญญาณข้อมูล (๘) การใส่ชิ้นส่วนหรือส่วนประกอบในมาตรการทางเทคโนโลยี เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการป้องกันผู้เยาว์ในการเข้าถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่ไม่เหมาะสม (๙) การกระทำโดยสุจริตซึ่งเจ้าของคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อนุญาต เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการทดสอบ สืบค้น หรือแก้ไข เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น มีความปลอดภัย
(๑๐) การกระทำเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการระบุและยับยั้งการรวบรวมหรือกระจายข้อมูลความลับของบุคคลที่ได้ให้ไว้ในการใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อการเข้าถึงงานใด ๆ โดยบุคคลอื่น
(๑๑) การกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน เจ้าหน้าที่
หรือคู่สัญญาเพื่อวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมาย การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศและ
รักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่คล้ายคลึงกันของทางราชการ
(๑๒) การเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีอื่น โดยห้องสมุด หอจดหมายเหตุ หรือสถาบันการศึกษาที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการตัดสินใจที่จะได้มาซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงดังกล่าว
(๑๓) การกระทำแก่มาตรการทางเทคโนโลยีโดยประการอื่นตามที่ได้กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๕๓/๔ การผลิต นำเข้า จำหน่าย เสนอต่อสาธารณชน จัดหา หรือค้า โดยวิธีอื่นใด ซึ่งอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ หรือส่วนประกอบ หรือการเสนอบริการต่อสาธารณชน หรือจัดให้บริการอันเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ถือเป็นการกระทำละเมิด
(๑) มีการส่งเสริมการขาย โฆษณา หรือทำการตลาด เพื่อวัตถุประสงค์ในการหลีกเลี่ยง
มาตรการทางเทคโนโลยี
(๒) มีวัตถุประสงค์สำคัญทางการค้า หรือการใช้เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการทาง
เทคโนโลยีโดยเฉพาะ
(๓) ถูกออกแบบ ผลิต หรือมีหน้าที่ เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการช่วยให้เกิด หรืออำนวยความสะดวกในการหลีกเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี
มาตรา ๕๓/๕ การกระทำตามมาตรา ๕๓/๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ หรือส่วนประกอบที่ใช้หลีกเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีที่ใช้ป้องกันการเข้าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง หากเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ มิให้ถือว่าเป็นการกระทำละเมิด
(๑) การทำวิศวกรรมย้อนกลับโดยสุจริต ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะให้สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่นที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาโดยอิสระต่างหากได้
(๒) การกระทำโดยสุจริต โดยผู้วิจัยซึ่งได้รับสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงมาโดยชอบด้วยกฎหมาย และได้ใช้ความพยายามโดยสุจริตในการขออนุญาตเพื่อการวิจัยดังกล่าวแล้ว โดยการวิจัยนั้นมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่จำเป็นเพื่อชี้และวิเคราะห์ข้อบกพร่องและ
จุดอ่อนของเทคโนโลยีการเข้าสัญญาณและถอดสัญญาณข้อมูล
(๓) การใส่ชิ้นส่วนหรือส่วนประกอบในมาตรการทางเทคโนโลยี เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการป้องกันผู้เยาว์ในการเข้าถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่ไม่เหมาะสม
(๔) การกระทำโดยสุจริตซึ่งเจ้าของคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการทดสอบ สืบค้น หรือแก้ไข เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น มีความปลอดภัย
(๕) การกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคู่สัญญาเพื่อวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมาย การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่คล้ายคลึงกันของทางราชการ
(๖) การออกแบบ หรือการออกแบบและคัดเลือกชิ้นส่วนและส่วนประกอบของสินค้าอุปโภคประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์โทรคมนาคม หรือผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่โดยลักษณะและหน้าที่ของอุปกรณ์นั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายมาตรการทางเทคโนโลยี
มาตรา ๕๓/๖ การกระทำตามมาตรา ๕๓/๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ หรือส่วนประกอบที่ใช้หลีกเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีที่ใช้ปกป้องงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง มิให้ถือเป็นการละเมิด หากเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตาม มาตรา ๕๓/๕ (๑) (๕) หรือ (๖)”
มาตรา ๑๗ ให้เพิ่มมาตราต่อไปนี้เป็นหมวด ๒/๒ การบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน ส่วนที่ ๑ ข้อความทั่วไป มาตรา ๕๓/๗ มาตรา ๕๓/๘ มาตรา ๕๓/๙ มาตรา ๕๓/๑๐ ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บ มาตรา ๕๓/๑๑ มาตรา ๕๓/๑๒ มาตรา ๕๓/๑๓ มาตรา ๕๓/๑๔ มาตรา ๕๓/๑๕ มาตรา ๕๓/๑๖ ส่วนที่ ๓ สิทธิและหน้าที่ขององค์กรจัดเก็บ มาตรา ๕๓/๑๗ มาตรา ๕๓/๑๘ มาตรา ๕๓/๑๙ ส่วนที่ ๔ การดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน มาตรา ๕๓/๒๐ มาตรา ๕๓/๒๑ มาตรา ๕๓/๒๒ มาตรา ๕๓/๒๓ มาตรา ๕๓/๒๔ มาตรา ๕๓/๒๕
ส่วนที่ ๕ การกำกับดูแลองค์กรจัดเก็บ มาตรา ๕๓/๒๖ มาตรา ๕๓/๒๗ มาตรา ๕๓/๒๘ มาตรา ๕๓/๒๙ มาตรา ๕๓/๓๐ มาตรา ๕๓/๓๑ มาตรา ๕๓/๓๒ ส่วนที่ ๖ คณะกรรมการกำกับดูแลองค์กรจัดเก็บ มาตรา ๕๓/๓๓ มาตรา ๕๓/๓๔ และมาตรา ๕๓/๓๕
“หมวด ๒/๒
การบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทนส่วนที่ ๑
ข้อความทั่วไป
มาตรา ๕๓/๗ ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
“องค์กรจัดเก็บ” หมายความว่า องค์กรที่เจ้าของสิทธิในงานประเภทเดียวกัน
หลายคนร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทนแทนเจ้าของสิทธิ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์ใน
การแสวงหาผลกำไรเป็นสำคัญ และต้องได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับดูแล
“เจ้าของสิทธิ” หมายความว่า เจ้าของลิขสิทธิ์ หรือสิทธิของนักแสดง (หรือสิทธิข้างเคียง)
“ดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน” หมายความว่า ดำเนินการจัดการใด ๆ เกี่ยวกับค่าตอบแทน ไม่ว่าก่อนหรือหลังจากได้รับค่าตอบแทน
“ผู้ใช้งาน” (ผู้ไดัรับอนุญาต)หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำสัญญาขออนุญาตใช้งานอันมีลิขสิทธิ์
หรือสิทธิของนักแสดงกับองค์กรจัดเก็บ โดยรับว่าจะชำระค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าว
“ค่าตอบแทน” หมายความว่า เงินที่ได้รับเนื่องจากการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
“ใบอนุญาต” หมายความว่า ใบอนุญาตให้เป็นองค์กรจัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้
“คณะกรรมการกำกับดูแล” หมายความว่า คณะกรรมการกำกับดูแลองค์กรจัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนสงเคราะห์เพื่อเจ้าของสิทธิ(และผู้ได้รับผลกระทบจากการบริหารสิทธิ์)และการสาธารณกุศลที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
ส่วนที่ ๒
การขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บ
มาตรา ๕๓/๘ ให้คณะกรรมการกำกับดูแลประกาศกำหนดประเภทงานอันมี
ลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงที่ต้องขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บ
มาตรา ๕๓/๙ เจ้าของสิทธิที่ประสงค์จะดำเนินการเป็นองค์กรจัดเก็บต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับดูแล
เจ้าของสิทธิที่มีสิทธิยื่นคำขออนุญาตต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือนิติบุคคลที่มิได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ
แสวงหากำไรเป็นสำคัญ
(๒) มีเจ้าของสิทธิเป็นสมาชิก โดยจำนวนสมาชิกและการเข้าเป็นสมาชิกให้เป็นไปตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล (ตามมาตรา 53/7)
(๓) มีสถานะทางการเงินที่เชื่อถือได้
(๔) มีคุณสมบัติอื่นตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล
มาตรา ๕๓/๑๐ การขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล
มาตรา ๕๓/๑๑ เมื่อได้รับคำขออนุญาต ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำขออนุญาตและเอกสารหลักฐานให้ถูกต้องตามมาตรา ๕๓/๑๐ และรายงานการตรวจสอบเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแล
ในกรณีที่คำขออนุญาตไม่เป็นไปตามมาตรา ๕๓/๙ และมาตรา ๕๓/๑๐
ให้คณะกรรมการกำกับดูแลมีคำสั่งไม่อนุญาต และให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือไปยังเจ้าของสิทธิที่ยื่นคำขออนุญาตโดยมิชักช้า เจ้าของสิทธิที่ยื่นคำขออนุญาตมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
การอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายวิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง
มาตรา ๕๓/๑๒ ในการอนุญาตให้เป็นองค์กรจัดเก็บ ให้คณะกรรมการกำกับดูแล
พิจารณาสั่งอนุญาตให้เจ้าของสิทธิที่ยื่นคำขออนุญาตที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรา ๕๓/๑๑ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามมาตรา ๕๓/๑๒ เป็นองค์กรจัดเก็บและแจ้งคำสั่งนั้นให้เจ้าของสิทธิที่ยื่นคำขออนุญาตทราบ
ให้คณะกรรมการกำกับดูแลออกใบอนุญาตให้แก่เจ้าของสิทธิที่ได้รับอนุญาต
ตามวรรคหนึ่ง เมื่อเจ้าของสิทธิที่ได้รับอนุญาตได้ชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่บันทึกการได้รับอนุญาตไว้ในทะเบียน
ค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล
เมื่อเจ้าของสิทธิได้รับใบอนุญาตแล้ว ให้องค์กรจัดเก็บมีฐานะเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๕๓/๑๓ ใบอนุญาตให้มีอายุสี่ปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหายหรือชำรุดบกพร่องในสาระสำคัญ ให้องค์กรจัดเก็บขอรับใบแทนได้
ในกรณีที่องค์กรจัดเก็บประสงค์จะต่อใบอนุญาต ให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในเก้าสิบวันก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ เมื่อได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตแล้ว ให้องค์กรจัดเก็บยังมีสิทธิและหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้อยู่จนกว่าคณะกรรมการกำกับดูแล
จะมีคำสั่งไม่อนุญาต
การขอรับใบแทนและการขอต่ออายุใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล
มาตรา ๕๓/๑๔ ในกรณีที่องค์กรจัดเก็บได้ยื่นคำขอต่ออายุภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๕๓/๑๓ วรรคสาม และคณะกรรมการกำกับดูแลเห็นว่าการขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแลตามมาตรา ๕๓/๑๒ วรรคสี่ ให้คณะกรรมการกำกับดูแลต่ออายุใบอนุญาตให้อีกคราวละสี่ปีนับแต่วันสิ้นอายุใบอนุญาตเดิม
ส่วนที่ ๓
สิทธิและหน้าที่ขององค์กรจัดเก็บ
มาตรา ๕๓/๑๕ สิทธิและหน้าที่ขององค์กรจัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้
เริ่มตั้งแต่วันที่ออกใบอนุญาต
มาตรา ๕๓/๑๖ ให้องค์กรจัดเก็บมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน ดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน ข้อบังคับเกี่ยวกับการรับสมาชิกที่ต้องไม่มีข้อสงวนสิทธิในการเข้าเป็นสมาชิก ข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนที่ใช้ในการจัดเก็บ ข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดสรรค่าตอบแทนให้แก่เจ้าของสิทธิ และข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุน รวมทั้งข้อบังคับอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน
(๒) สำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงของสมาชิก และข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานดังกล่าว รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลงานดังกล่าวให้แก่
ผู้ร้องขอ โดยเรียกเก็บค่าบริการจากผู้ร้องขอได้ตามข้อบังคับขององค์กร ตลอดจนให้จัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้คณะกรรมการกำกับดูแลเพื่อทราบด้วย
(๓) ทำสัญญาอนุญาตให้ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง โดยต้องไม่เลือกอนุญาต และต้องทำสัญญาอนุญาตอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม
(๔) จัดเก็บค่าตอบแทนตามข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนที่ใช้ในการจัดเก็บโดยต้องเป็นข้อบังคับที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับดูแล
(๕) จัดสรรค่าตอบแทนให้แก่บรรดาเจ้าของสิทธิที่เป็นสมาชิกตามข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดสรรค่าตอบแทน โดยต้องเป็นข้อบังคับที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับดูแล
(๖) ดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงที่เกี่ยวกับการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน
(๗) จัดทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินการจัดเก็บค่าตอบแทนและการ
อื่นใดที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบและตรวจสอบได้ และส่งสำเนารายงานประจำปีต่อคณะกรรมการกำกับดูแล ภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของทุกปี
(๘) จัดทำงบดุล งบการเงิน และบัญชี และจัดให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบภายใน
เก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของทุกปี
(๙) เรียกให้ผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้กระทำการเผยแพร่ต่อสาธารณชนหรือผู้จัดให้มี การแสดงงานอันมีลิขสิทธิ์เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ หรือสิทธิของนักแสดงที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บและจัดสรรค่าตอบแทน
(๑๐) สิทธิและหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการกำกับดูแลประกาศกำหนด
มาตรา ๕๓/๑๗ การทำสัญญาอนุญาตให้ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตามมาตรา ๕๓/๑๖ (๓) หรือการจัดเก็บค่าตอบแทนตามมาตรา ๕๓/๑๖ (๔) โดยองค์กรจัดเก็บ ให้มีผลผูกพันเจ้าของสิทธิที่เป็นสมาชิกองค์กรจัดเก็บนั้น และผู้ใช้งานที่ได้จ่ายค่าตอบแทนการใช้งานลิขสิทธิ์หรือสิทธินักแสดงให้แก่องค์กรจัดเก็บรายหนึ่งหรือหลายราย รวมทั้งผู้ใช้งานไม่ต้อง รับผิดต่อการโต้แย้งสิทธิของบุคคลที่สามสำหรับการใช้งานลิขสิทธิ์หรือสิทธินักแสดงตามสัญญาอนุญาตดังกล่าว ทั้งนี้ให้องค์กรจัดเก็บเป็นผู้รับผิดชอบ หากมีการโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้น
ส่วนที่ ๔
การดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน
มาตรา ๕๓/๑๘ ให้องค์กรจัดเก็บจัดทำข้อบังคับต่าง ๆ ตามมาตรา ๕๓/๑๖ (๑) ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน โดยให้องค์กรจัดเก็บเสนอข้อบังคับ
ดังกล่าวให้คณะกรรมการกำกับดูแลให้ความเห็นชอบก่อนที่จะนำไปใช้
มาตรา ๕๓/๑๙ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทน
ที่ใช้ในการจัดเก็บ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดสรรค่าตอบแทนให้แก่เจ้าของสิทธิ ให้องค์กรจัดเก็บ
แจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อคณะกรรมการกำกับดูแลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยน
แปลงนั้น เพื่อให้คณะกรรมการกำกับดูแลให้ความเห็นชอบ
มาตรา ๕๓/๒๐ ให้องค์กรจัดเก็บจัดทำทะเบียนสมาชิกและส่งสำเนาให้คณะกรรมการกำกับดูแล ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต
ทะเบียนสมาชิกตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการและเอกสารดังต่อไปนี้
(๑) ชื่อ สัญชาติ และที่อยู่ของสมาชิก
(๒) วันที่เข้าเป็นสมาชิก
(๓) ชื่อ ประเภทของงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงของสมาชิก
(๔) รายละเอียดผลงานของสมาชิก
(๕) รายละเอียดอื่นตามประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนสมาชิกตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้ง
การเปลี่ยนแปลงต่อคณะกรรมการกำกับดูแล ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้น
มาตรา ๕๓/๒๑ ในการจัดเก็บค่าตอบแทนจากผู้ใช้งาน หากงานลิขสิทธิ์หรือ
การแสดงใดที่ผู้ใช้งานนำไปใช้มีหลายประเภทงานรวมอยู่ด้วยกัน ให้องค์กรจัดเก็บรวมตัวกัน
จัดเก็บค่าตอบแทนคราวเดียวสำหรับระยะเวลาการอนุญาตให้ใช้งานลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
แต่ละครั้ง ทั้งนี้ ให้องค์กรจัดเก็บตกลงกันก่อนดำเนินการจัดเก็บ พร้อมทั้งแจ้งข้อตกลงต่อ
คณะกรรมการกำกับดูแลก่อนดำเนินการจัดเก็บ
การจัดเก็บค่าตอบแทนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปหลักเกณฑ์ และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับดูแลประกาศกำหนด
มาตรา ๕๓/๒๒ เมื่อองค์กรจัดเก็บได้จัดเก็บค่าตอบแทนจากผู้ใช้งานแล้ว ให้องค์กรจัดเก็บจัดสรรค่าตอบแทนให้แก่บรรดาสมาชิกอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม
ข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดสรรค่าตอบแทนตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับดูแล
มาตรา ๕๓/๒๓ การดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทนขององค์กร
จัดเก็บที่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ได้รับการยกเว้นภาษีตามพระราชกฤษฎีกา
ซึ่งออกตามความในประมวลรัษฎากร
ส่วนที่ ๕
การกำกับดูแลองค์กรจัดเก็บ
มาตรา ๕๓/๒๔ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินผลการดำเนินการขององค์กรจัดเก็บและเสนอรายงานผลการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อคณะกรรมการกำกับดูแลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามมาตรา ๕๓/๒๕
มาตรา ๕๓/๒๕ ในกรณีที่ปรากฏจากรายงานของผู้สอบบัญชีหรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่ว่าองค์กรจัดเก็บใดกระทำการไม่ถูกต้องในการดำเนินกิจการจนทำให้เกิดความเสียหาย หรือมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการเงินหรือการบัญชี ถ้าคณะกรรมการกำกับดูแลเห็นว่าการกระทำ
อันก่อให้เกิดความเสียหายหรือข้อบกพร่องนั้นอาจแก้ไขได้ ให้คณะกรรมการกำกับดูแลสั่งให้แก้ไขการกระทำหรือข้อบกพร่องนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด หากองค์กรจัดเก็บไม่ดำเนินการแก้ไขภายในระยะเวลาดังกล่าว คณะกรรมการกำกับดูแลอาจสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ และแจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลให้องค์กรจัดเก็บทราบ
มาตรา ๕๓/๒๖ ในกรณีที่คณะกรรมการกำกับดูแลเห็นว่าองค์กรจัดเก็บมิได้ดำเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต หรือหยุดกิจการติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปี คณะกรรมการกำกับดูแลมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาต และแจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลให้
องค์กรจัดเก็บนั้นทราบ
มาตรา ๕๓/๒๗ คำสั่งของคณะกรรมกำกับดูแลตามมาตรา ๕๓/๒๕ หรือมาตรา ๕๓/๒๖ ที่สั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต ให้องค์กรจัดเก็บอุทธรณ์ต่อศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ภายสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง การอุทธรณ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับดูแล
มาตรา ๕๓/๒๘ ในกรณีที่องค์กรจัดเก็บถูกเพิกถอนใบอนุญาต ให้สัญญาอนุญาต
ให้ใช้งานลิขสิทธิ์มีผลต่อไปจนกว่าระยะเวลาตามที่ตกลงในสัญญาจะสิ้นสุด และเมื่อสัญญาสิ้นสุดแล้ว เจ้าของสิทธิและนักแสดงยังไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์กรจัดเก็บรายใด ให้ถือว่าผู้ใช้งานมีสิทธิใช้งานต่อไปได้ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิองค์กรจัดเก็บที่จะจัดเก็บค่าตอบแทนย้อนหลัง
มาตรา ๕๓/๒๙ ให้คณะกรรมการกำกับดูแลมีสิทธิเรียกให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องจัดส่งข้อมูลที่จำเป็นตามสมควรเพื่อประโยชน์ในการคำนวณค่าตอบแทนการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
มาตรา ๕๓/๓๐ บุคคลใดอาจขอตรวจเอกสารเกี่ยวกับองค์กรจัดเก็บที่เก็บรักษาไว้กับคณะกรรมการกำกับดูแล และอาจขอคัดสำเนาเอกสารดังกล่าวพร้อมคำรับรองสำเนาถูกต้องโดยเสียค่าธรรมเนียมได้
ส่วนที่ ๖
คณะกรรมการกำกับดูแลองค์กรจัดเก็บ
มาตรา ๕๓/๓๑ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการกำกับ
ดูแลองค์กรจัดเก็บ” ประกอบด้วย อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นประธานผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ(เป็นประธาน) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา(รองประธาน) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรมและผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
อีกไม่เกินเก้าคนเป็นกรรมการ
ให้คณะกรรมการกำกับดูแลแต่งตั้ง(ผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ เป็นเลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกินสองคน)ข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกินสองคน
มาตรา ๕๓/๓๒ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา ๕๓/๓๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือ
(๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่โทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
มาตรา ๕๓/๓๔ การประชุมของคณะกรรมการกำกับดูแลต้องมีกรรมการ
มาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการ
ไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นได้อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๕๓/๓๕ คณะกรรมการกำกับดูแลมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(๑) ออกประกาศกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำขออนุญาตเป็นองค์กร
จัดเก็บ ประเภทของงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงที่ต้องขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บ การขอใบแทน การขอต่อใบอนุญาต
ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และสิทธิและหน้าที่ขององค์กรจัดเก็บ
(๒) พิจารณาอนุญาตให้ดำเนินการเป็นองค์กรจัดเก็บ
(๓) ให้ความเห็นชอบข้อบังคับเกี่ยวกับการดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน ข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนที่ใช้ในการจัดเก็บ ข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดสรรค่าตอบแทนให้แก่เจ้าของสิทธิ ข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุน และข้อบังคับอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทน
(๔) กำกับดูแลการบริหารการจัดเก็บค่าตอบแทนขององค์กรจัดเก็บ และ
(๕) พิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับการดำเนินการบริหารการจัดเก็บระหว่างองค์กรจัดเก็บ และระหว่างองค์กรจัดเก็บและสมาคมหรือองค์กรผู้ใช้งาน”
มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติ
ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๕๔ ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งประสงค์จะขออนุญาตใช้ลิขสิทธิ์ในงานที่มีการ
เผยแพร่ต่อสาธารณชนหรือจำหน่ายในรูปของสิ่งพิมพ์หรืออย่างอื่นที่คล้ายคลึงกันตาม
พระราชบัญญัตินี้ เพื่อประโยชน์ในการเรียน การสอน หรือค้นคว้า ที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหา
กำไรอาจยื่นคำขอต่ออธิบดี โดยแสดงหลักฐานว่าผู้ขอได้ขออนุญาตใช้ลิขสิทธิ์ในการจัดทำคำแปล
เป็นภาษาไทย หรือทำซ้ำสำเนางานที่ได้เคยจัดพิมพ์งานแปลเป็นภาษาไทยดังกล่าวจากเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่ได้รับการปฏิเสธหรือเมื่อได้ใช้เวลาอันสมควรแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ยื่นคำขอดังกล่าว
(๑) เจ้าของลิขสิทธิ์มิได้จัดทำหรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยของงานดังกล่าวออกทำการโฆษณาภายในสามปีหลังจากที่ได้มีการโฆษณางานเป็นครั้งแรก หรือ
(๒) เจ้าของลิขสิทธิ์ได้จัดพิมพ์คำแปลงานของตนเป็นภาษาไทยออกทำการโฆษณา ซึ่งเมื่อพ้นกำหนดสามปีหลังจากที่ได้จัดพิมพ์คำแปลงานดังกล่าวครั้งสุดท้ายไม่มีการจัดพิมพ์คำแปลงานนั้นอีก และไม่มีสำเนาคำแปลงานดังกล่าวในท้องตลาด”
มาตรา ๑๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๐ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๖๐ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(๑) ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวงตาม
พระราชบัญญัตินี้
(๒) วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของอธิบดีตามมาตรา ๔๕ และมาตรา ๕๕
(๓) ส่งเสริมหรือสนับสนุนสมาคม หรือองค์กรของผู้สร้างสรรค์หรือนักแสดงเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อจัดเก็บค่าตอบแทนจากบุคคลอื่นที่ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของ
นักแสดง และการคุ้มครองหรือปกป้องสิทธิหรือประโยชน์อื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้
(๔) กำหนดแบบสัญญามาตรฐานเกี่ยวกับลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
รวมทั้งส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการใช้แบบสัญญาดังกล่าว
(๕) พิจารณาเรื่องอื่นๆ ตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้และให้นำมาตรา ๕๙ มาใช้บังคับแก่
การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสารหรือวัตถุใดๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามความจำเป็น”
มาตรา ๒๐ ให้ยกเลิกความที่เป็นชื่อของหมวด ๖ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“หมวด ๖
คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ สิทธิของนักแสดงและสิทธิอันเกี่ยวกับข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี”
มาตรา ๒๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๖๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
“มาตรา ๖๒/๑ สถาบันการศึกษา หอจดหมายเหตุ ห้องสมุดหรือองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพสาธารณะที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรที่กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิตามมาตรา ๕๓/๑ และมาตรา ๕๓/๓ ไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อการกระทำละเมิดดังกล่าว”
มาตรา ๒๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๖๔ ในกรณีที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง ศาลมีอำนาจ
สั่งให้ผู้ละเมิดชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) นอกจากกำหนดค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่าง
แท้จริง ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้ละเมิดคืนผลประโยชน์ที่ได้จากหรือเนื่องจากการละเมิดโดยคิดรวมเข้าไปในค่าสินไหมทดแทนได้
(๒) ในกรณีที่ไม่อาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนตาม (๑) ได้ ให้ศาลกำหนด
ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร
(๓) ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงเป็นการกระทำโดยจงใจหรือมีเจตนากระทำเพื่อการค้าให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ละเมิดจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่ศาลกำหนดตาม (๑) หรือ (๒) ได้ แต่ต้องไม่เกิน
สองเท่าของค่าสินไหมทดแทนตาม (๑) หรือ (๒)”
มาตรา ๒๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็นมาตรา ๖๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๖๔/๑ ในคดีแพ่งที่เกี่ยวกับลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตาม
พระราชบัญญัตินี้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งริบบรรดาสิ่งที่ได้ทำขึ้นหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร
อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสิทธิของนักแสดง”
มาตรา ๒๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๖๖ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นความผิดอันยอมความได้
เว้นแต่การละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงในเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
คำว่า “การละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงในเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่”
หมายความรวมถึง การละเมิดที่มีลักษณะเป็นโรงงานผลิต การผลิตที่ทำเป็นธุรกิจ หรือการค้าที่
ทำเป็นปกติธุระ”
มาตรา ๒๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๖๙ ผู้ใดกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๒๗ (๑) มาตรา ๒๘ (๑) มาตรา ๒๙ (๑) หรือมาตรา ๓๐ (๑) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินแปดแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินหนึ่งล้านหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
มาตรา ๒๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๖๙/๑ มาตรา ๖๙/๒ และมาตรา ๖๙/๓ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
“มาตรา ๖๙/๑ ผู้ใดกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๒๗ (๒) มาตรา ๒๘ (๒) หรือมาตรา ๓๐ (๒) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์
ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินแปดแสนบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๙/๒ ผู้ใดกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๒๗ (๓) มาตรา ๒๘ (๓)(๔) หรือมาตรา ๓๐ (๓) หรือ (๔) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินสามพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์
แต่ละชิ้นแต่ทั้งนี้ไม่เกินแปดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖๙/๓ ผู้ใดกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๒๙ (๒) หรือมาตรา
๒๙ (๓) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์
ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินแปดแสนบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ”
มาตรา ๒๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.๒๕๓๗ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๗๐ ผู้ใดกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๓๑ (๑) (๓) หรือ (๔)
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์
แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินแปดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
มาตรา ๒๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๐/๑ มาตรา ๗๐/๒ มาตรา มาตรา ๗๐/๓ มาตรา๗๐/๔ มาตรา ๗๐/๕ มาตรา ๗๐/๖ มาตรา มาตรา ๗๐/๗ มาตรา๗๐/๘ และมาตรา ๗๐/๙ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
“มาตรา ๗๐/๑ ผู้ใดกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๓๑ (๒) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์
ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินแปดแสนบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๒ ผู้ใดกระทำละเมิดสิทธิของนักแสดงตามมาตรา ๕๒ ในส่วน
ที่เกี่ยวกับการกระทำตามมาตรา ๔๔ (๑) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินแปดแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์
ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านหกแสนบาทหรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๓ ผู้ใดกระทำละเมิดสิทธิของนักแสดงตามมาตรา ๕๒ ในส่วนที่ เกี่ยวกับการกระทำตามมาตรา ๔๔ (๒) หรือมาตรา ๔๔ (๓) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดสิทธิของนักแสดงแต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกิน
แปดแสนบาท
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินหนึ่งล้านหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๔ ผู้ใดกระทำละเมิดสิทธิของนักแสดงตามมาตรา ๕๒ ในส่วนที่
เกี่ยวกับการกระทำตามมาตรา ๔๔ (๔) หรือมาตรา ๔๔ (๕) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดสิทธิของนักแสดงแต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกิน
สี่แสนบาท
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดสิทธิของนักแสดงแต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินหนึ่งล้านแปดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๕ ผู้ใดกระทำละเมิดสิทธิของนักแสดงตามมาตรา ๕๒ ในส่วน
ที่เกี่ยวกับการกระทำตามมาตรา ๔๔ (๖) หรือมาตรา ๔๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่แสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์
ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินแปดแสนบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๖ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๕๓/๑ หรือมาตรา ๕๓/๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์
ขนาดใหญ่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๗ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๕๓/๔ ต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันห้าร้อยบาทต่อสินค้าที่ละเมิดแต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินสองแสนบาท
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามพันบาทต่อสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์
แต่ละชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่เกินสี่แสนบาท
มาตรา ๗๐/๘ ผู้ใดดำเนินการเป็นองค์กรจัดเก็บโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับดูแลตามมาตรา ๕๓/๑๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งล้านหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗๐/๙ องค์กรจัดเก็บใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๓/๑๘ มาตรา ๕๓/๑๙ มาตรา ๕๓/๒๐ หรือมาตรา ๕๓/๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่หนึ่งแสนบาท”
มาตรา ๒๙ ให้ยกเลิกมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๓๐ ให้ยกเลิกมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๓๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๗๗ ความผิดตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๖๙/๑ วรรคหนี่ง มาตรา ๖๙/๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๖๙/๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐ วรรคหนึ่ง มาตรา๗๐/๑
วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐/๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐/๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐/๔ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐/๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐/๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๗๐/๗ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗๐/๙
ให้อธิบดีมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้”
มาตรา ๓๒ ผู้ใดดำเนินการจัดเก็บค่าตอบแทนจากการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือ
สิทธิของนักแสดงอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้นั้นดำเนินการขออนุญาตเป็นองค์กรจัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
………………………………………. นายกรัฐมนตรี
go back......
|