สรุป Individual Study เอกัตศึกษาทางกฎหมายเศรษฐกิจและธุรกิจ เรื่อง
พระราชบัญญัตลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 กรณีศึกษาปัญหาการจัดเก็บค่าสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชน ในธุรกิจเพลงไทย
นางสาวสุพัชรา ดิษฐบรรจง (468 63483 34) เมษายน พ.ศ. 2548 หลักสูตรศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายเศรฐกิจ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในประเทศไทย การจัดเก็บค่าสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานลิขสิทธิ์ ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยการรวมตัวของนักแต่งเพลงไทยก่อตั้งเป็น บริษัทลิขสิทธิ์ดนตรี(ประเทศไทย)จำกัด เพื่อดูแลพิทักษ์สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงต่อสาธารณชนให้กับนักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิก ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์แห่งสมาคมผู้สร้างสรรค์และนักแต่งเพลงระหว่างประเทศ (International Confederation of Societies of Societies of Authors and Composers: CISAC) ทำให้ผลงานของนักแต่งเพลงไทยได้รับการดูแลสิทธิในต่างประเทศด้วย ในส่วนสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชนของงานสิ่งบันทึกเสียงเพลงสากลนั้น สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศ (International federation of Phonogram Industry: IFPI) ได้เข้ามาจัดตั้ง IFPI (Thai Group) สนับสนุนให้เกิดบริษัท โฟโนไรทส์ (ไทยแลนด์)จำกัดขึ้น โดยเริ่มดำเนินการจัดเก็บสิทธิเผยแพร่สิ่งบันทึกเสียงแก่ค่ายเทปสากลในปี พ.ศ. 2540 ช่วงปี พ.ศ. 2542 ได้มีการตื่นตัวในการพิทักษ์สิทธิของค่ายเทปเพลงไทย โดยเริ่มต้นจากการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทำซ้ำเพลงในสถานประกอบการคาราโอเกะแบบมิดิไฟล์ รวมถึงการใช้วีซีดีปลอมในตู้เพลง ตู้คาราโอเกะ และร้านคาราโอเกะ ซึ่งต่อมาภายหลังผู้ประกอบการได้เปลี่ยนมาใช้สินค้าที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตามในด้านการจัดเก็บค่าสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณนั้นยังไม่เป็นที่ลงตัว เนื่องจากเจ้าของลิขสิทธิ์หลายรายประสงค์จะดำเนินการจัดเก็บค่าสิทธิเอง เมื่อประกอบกับวิธีการจัดเก็บที่เน้นการใช้มาตรการทางอาญาและมีการมอบอำนาจช่วงให้ตัวแทนหลายราย จึงทำให้เกิดความสับสนและความเดือดร้อนต่อผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันมีบริษัททั้งสิ้นกว่า 10 บริษัท แจ้งต่อคณะกรรมการกำหนดราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่าจะดำเนินการจัดเก็บค่าสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั้งงานดนตรีกรรมและ/หรืองานสิ่งบันทึกเสียง มีการใช้สิทธิในทางไม่ชอบ (Abuse of Rights) และมีการรวบสิทธิไว้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเฉพาะกลุ่ม สถานการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสังคม เศรษฐกิจและระบบลิขสิทธิ์ของประเทศ ซึ่งโดยสรุปแล้วได้แก่
1.1 ปัญหาต่อสังคม ผู้ประกอบการรายย่อย (เช่น ร้านอาหาร คาราโอเกะ) ซึ๋งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ อาจไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้เพราะถูกใช้มาตรการทางอาญาในการบังคับใช้สิทธิอย่างไม่เหมาะสม โดยเสียค่ายอมความสูงหลายหมื่นบาทต่อครั้งของการถูกดำเนินคดี หรือหากต้องการใช้งานครบทุกค่ายก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ (ทั้งงานดนตรีกรรมและงานสิ่งบันทึกเสียง) สูงถึงเกือบหมื่นบาทต่อเดือน เกิดความสับสนเสมือนมีความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บ ซึ่งอาจยากแก่การที่ประชาชนจะเข้าใจ เพราะ
2
-ในเพลง 1 เพลง ประกอบด้วยงานลิขสิทธิ์ 2 งาน คืองานดนตรีกรรม และงานสิ่งบันทึกเสียง - ใน 1 งานดนตรีกรรม ผู้แต่คำร้องอาจมอบให้บริษัทหนึ่งจัดเก็บค่าสิทธิ ในขณะที่ผู้แต่งทำนองอาจมอบให้ อีกบริษัทหนึ่ง - ใน 1 งานดนตรีกรรม สามารถมีการนำไปทำสิ่งบันทึกเสียง หลายครั้ง หลายรูปแบบของดนตรี โดยภาคธุรกิจต่างบริษัท ดังนั้นภายใต้เพลงเดียวกัน สามารถมีงานสิ่งบันทึกเสียงหลายงาน ผลิตโดยบริษัทหลายแห่ง
จากการที่สังคมสับสน และไม่เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของระบบจัดเก็บค่าสิทธิที่จะมีต่อสังคม จึงอาจเกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อระบบคุ้มครองลิขสิทธิ์ เกิดความซ้ำซ้อนในระดับจุลภาคที่เป็นปัญหาเดือดร้อน เช่น ความซ้ำซ้อนของงานลิขสิทธิ์ที่ถูกเรียกเก็บค่าสิทธิ เนื่องจากมีการให้เงินล่วงหน้าแก่นักแต่งเพลงแลกกับการเซ็นสัญญาโอนสิทธิเผยแพร่ฯและ/หรือมอบอำนาจการจัดเก็บให้ผู้จัดเก็บทำให้นักแต่งเพลงเซ็นให้ผู้จัดเก็บหลายราย
1.2 ปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ และระบบลิขสิทธิ์ของประเทศ
เกิดความซ้ำซ้อนในระดับมหภาคที่อาจทำให้ขาดประสิทธิภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ (Economy efficiency) เช่น ความซ้ำซ้อนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ต้องเกิดขึ้นกับผู้จัดเก็บทั้งกว่า 10 ราย ในการติดต่อสถานประกอบการผู้ใช้เพลงแห่งเดียวกัน หลักการขององค์กรบริหารการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ (ที่มิได้มุ่งหวังผลกำไรและจัดสรรค่าสิทธิตามปริมาณการใช้งานลิขสิทธิ์) อาจถูกบิดเบือนไปเป็นรูปของธุรกิจการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ที่ประสงค์ผลกำไรสูง เนื่องจากมียอดเงินลงทุนที่สูงเกินความจำเป็นอันเกิดจากการซื้อลิขสิทธิ์นักแต่งเพลง หลักการของลิขสิทธิ์ที่ต้องการคุ้มครองและตอบแทนผลประโยชน์เสมือนเป็นรางวัลไห้แก่ผู้สร้างสรรค์นั้นอาจไม่บรรลุผล เนื่องจากผลตอบแทนค่าสิทธิจะไม่ถึงมือนักแต่งเพลงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในระยะยาว จึงไม่สามารถสร้างสมดุลย์ให้เกิดกัยนักแต่งเพลง/ผู้สร้างสรรค์ ภาคธุรกิจ และผู้ใช้งาน รัฐในฐานะผู้รักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นธรรมในสังคม และในฐานะผู้กำหนดนโยบายระบบลิขสิทธิ์ของประเทศ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ามาแทรกแซงเรื่องของการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เผยแพร่ต่อสาธารณชน เพราะเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ผู้เป็นเจ้าของสิทธิ และผู้สร้างสรรค์จำนวนมหาศาล ทั้งนี้เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างผลตอบแทนของนักแต่งเพลงหรือผู้สร้างสรรค์กับธุรกิจเพลงที่มีส่วนทำให้เพลงเป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง และประชาชนส่วนรวมของสังคมประเทศชาติ โดยอาจจำเป็นต้องปรับกลไกการบริหารจัดการปรับกลไกข้อกฎหมายและ
3
ข้อบังคับต่างๆให้สอดประสานกับหลักการจัดเก็บค่าสิทธิที่สุจริต เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับว่าสอดคล้องกับระบบในระดับสากล รายงานฉบับนี้ทำการศึกษาระบบจัดระบบจัดเก็บค่าสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชนในงานดนตรีกรรม ที่มีในต่างประเทศ แล้วทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสถานการณ์ การจัดเก็บค่าสิทธิของธุรกิจเพลงในประเทศไทยเป็นกรณีศึกษา จากการศึกษาพบว่า เพลงมีลักษณะบางส่วนในเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เสมือนเป็นสินค้าสาธารณะ (Public goods) ประกอบกับลักษณะของสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณนั้น เกี่ยวข้องกับเจ้าของสิทธิและผู้ใช้งานมากมาย จึงมีการรวมตัวของผู้สร้างสรรค์/เจ้าของสิทธิเป็นองค์กรเพื่อบริหารจัดการสิทธินี้ วิวัฒนาการการจัดเก็บค่าสิทธิ์ในธุรกิจเพลงนั้นเริ่มต้นในทวีปยุโรป จนมีการรวมตัวของผู้สร้างสรรค์เพื่อดูแลสิทธิต่างๆ โดยเป็นมาตรฐานเดียวกันในระดับสากล
การรวมตัวของผู้สร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์และงานสิทธิข้างเคียงในธุรกิจเพลง ซึ่งมีองค์กรในระดับระหว่างประเทศใหญ่ๆ 3 องค์กร ซึ่งแยกกันชัดเจนระหว่างงานดนตรีกรรมสร้างสรรค์โดยนักแต่งเพลง (ซึ่งอาจเรียกรวมว่า Author Society) และงานสิ่งบันทึกเสียงที่สร้างสรรค์โดยภาคธุรกิจ (Sound Recording Society) องค์กรในระดับระหว่างประเทศทั้ง 3 องค์กรได้แก่
สมาพันธ์ CISAC องค์กรนักแต่งเพลง ดูแลสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชนในงานดนตรีกรรม สมาพันธ์ BIEM ในส่วนสิทธิทำซ้ำงานดนตรีกรรมลงบนสื่อต่างๆ สมาพันธ์ IFPI ในส่วนของงานสิ่งบันทึกเสียง
องค์กรบริหารการจัดเก็บค่าสิทธิเผยแพร่งานดนตรีกรรมต่อสาธารณชน มีองค์กรหลักที่ดำเนินการระหว่างประเทศคือ สมาพันธ์แห่งสมาคมผู้สร้างสรรค์และนักแต่งเพลงระหว่างประเทศ (CISAC) ซึ่งกำหนดบทบาทขององค์กรให้ดำเนินการบริหารจัดเก็บค่าสิทธิที่ต้องคำนึงถึงสมดุลระหว่างสิทธิของนักแต่งเพลงและสังคมโดยรวม โดยจัดเก็บแบบเหมารวมแล้วจัดสรรให้แก่นักแต่งเพลงตามปริมาณการใช้งาน (Collective Licensing but Individual Distribution) โดยไม่แสวงหากำไร กล่าวคือ ค่าสิทธิที่จัดเก็บมาได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายดำเนินการที่เกิดขึ้นจริงแล้วต้องจัดสรรให้แก่สมาชิกนักแต่งเพลง ดังนั้นการที่องค์กรบริหารการจัดเก็บค่าสิทธินี้จะดำเนินงานในประเทศต่างๆได้ จำเป็นต้องมีภาครัฐเข้ามามีบทบาท ทั้งในแง่การกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์กร และการสร้างกลไกระงับข้อพิพาท ขอบเขตการเข้ามามีบทบาทของ
4
ภาครัฐนั้นมีระดับต่างๆ กันไปในแต่ละประเทศ เช่น รัฐอาจเข้ามากำกับดูแลครอบคลุมเคร่งครัดเช่น ในประเทศเยอรมันนี ฝรั่งเศส หรืออาจเข้ามากำกับดูแลไม่มาก เช่น ในประเทศสหราชอาณาจักร แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหมือนกันคือ องค์กรบริหารการจัดเก็บในแต่ละประเทศส่วนใหญ่แล้ว มีลักษณะของความจริงที่เป็นการผู้กขาด (de factor Monopoly) คือ 1 องค์กรต่อ 1 ประเภทสิทธิของ 1 ประเภทงาน หรือไม่ก็ 1 องค์กรต่อ 1 ประเภทงาน ยกเว้นประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีองค์กรจัดเก็บ 3 องค์กร แต่ในสหรัฐนั้น สิ่งบันทึกเสียงไม่ได้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการเผยแพร่งานต่อสาธารณชน อย่างไรก็ตามในทุกๆประเทศจะมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้าเข้ามากำกับการทำงานขององค์กรเช่นกัน
2. บทบาทภาครัฐต่อการบริหารการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์
องค์กรบริหารการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ (Collective Management Organization) จะต้องเป็นองค์กรที่รับรองด้วยกฎหมาย (Legally Cognizable Entity) และมีระดับขั้นของการร่วมสิทธิ (Degree of Collectivization) ซึ่งแสดงโดยนัยถึงการที่ภาครัฐต้องเข้ามามีส่วนกำกับดูแลไม่มากก็น้อย
ระดับขั้นของการร่วมสิทธินี้หมายถึง ระดับอำนาจควบคุมสิทธิที่ยังคงไว้กับเจ้าของสิทธิเมื่อเทียบกับระดับการความควบคุมที่องค์กรมี ซึ่งเมื่อพิจารณาในมุมนี้แล้วจะสามารถแยกรูปแบบองค์กรบริหารการจัดเก็บค่าสิทธิได้ 4 รูปแบบ คือ
องค์กรรวมกลุ่มตัวแทน (Agency Collective Organization) องค์กรรวมกลุ่มอนุญาตสิทธิ (Collective Licensing Organization) องค์กรจัดเก็บและจัดสรร(Collection of Distribution Organization) องค์กรรวมสิทธิสังคมนิยม (Social Collective)
ดังแสดงในรูปที่ 1 จะเห็นว่า องค์กรรวมกลุ่มแบบตัวแทน (Agency-Collective) นั้นที่ผู้เป็นเจ้าของสิทธิ ยังมีอำนาจควบคุมสิทธิสูง ลักษณะเช่นนี้เหมาะกับสิทธิทำซ้ำงานดนตรีกรรมที่บริหารจัดการโดยผู้สร้างสรรค์/เจ้าของสิทธิ บริษัทโฆษณาดนตรี หรือ ตัวแทน สำหรับองค์กรรวมกลุ่มอนุญาตสิทธิ (Collective-Licensing) นั้น เจ้าของสิทธิยอมสละอำนาจในการอนุญาตให้ใช้สิทธิแก่องค์กร โดยใช้อำนาจทางอ้อมด้วยการเข้าไปบริหารจัดการองค์กรนั้นๆ องค์กรลักษณะนี้จะทำการอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเหมารวมและผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานในความดูแลขององค์กรได้ทั้งหมด จึงทำให้องค์กรแบบนี้เหมาะกับการจัดการสิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชนในงานดนตรีกรรมและงานสิทธิข้างเคียง
5
อ่านหน้าต่อไป.....
กลับหน้าเดิม....
homepage..
|