ทรัพย์สินทางปัญญา

สิทธิบัตร
เครื่องหมายการค้า
ลิขสิทธิ์
นวัตกรรม
สิทธิบัตร

เครื่องหมายการค้า

ลิขสิทธิ์
 นวัตกรรม

สิทธิบัตร

 ครื่องหมายการค้า
ลิขสิทธิ์
นวัตกรรม
สิทธิบัตร
ครื่องหมายการค้า
ลิขสิทธิ์
นวัตกรรม
สิทธิบัตร
ครื่องหมายการค้า

 ลิขสิทธิ์

 
   

ข่าวรายวัน/news

คมชัดลึก

ผู้จัดการ 

ไทยรัฐ

  เดลินิวส์
ไทยโพสต์

the nation

people.com.cn/

 chinadaily.com.cn/

cctv online

 

สยามรัฐออนไลน์

tv online/ดูทีวีออนไลน์

 

 คมชัดลึก

ผู้จัดการ 

ไทยรัฐ

 เดลินิวส์
ไทยโพสต์

the nation

people.com.cn/

chinadaily.com.cn/

cctv online

 

หนังสือพิมพ์ทั่วไป....

 Timesonline

 

tv online 3,   5,  7,  9,  nbt,  tpbs 

cctvnews 

tcctvโทรทัศน์ไทยจีน

mono29

 百家讲坛


 

中華日報

新中原報

ตำนานสามก๊ก

อ่านตำนานสามก็ก

โปรแกรมแปลภาษา

แปลอังกฤษเป็นไทย 

โปรแกรมแปลไทยเป็นอังกฤษ

แปลอังกฤษ-จีน English-chinese translate

แปลจีนเป็นอังกฤษ          Mandarin-English translate

 


ดูรายชื่อเพลงล่าสุด 

papa menu



papa menu

ตรวจสอบเพลงซ้ำซ้อน

(download) 

ขออนุญาติใบ 

พรบ.ภาพยนต์และวีดีทัศน์

    

ตรวจสอบรายชื่อ

บริษัทจัดเก็บทั้งระบบ


    bluesky TV

Facebook/papakaraoke  


สมาพันธ์องค์กรผู้ใช้งานลิขสิทธิ์ไทยยื่นหนังสือ คสช  อ่านรายละเอียด........





                                                                                                                                                                                                                                                    

ทรัพย์สินทางปัญญา

ชุมชนบางบัวทอง

karaoke

สมาพันธ์คาราโอเกะแห่งประเทศไทย

The source of intelligence. The original of innovation.The community of Well-being and Peaceful.


 

 

อนุสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม

(Paris Convention for the Protection of Industrial Property)

 

1   อนุสัญญากรุงปารีสคืออะไร

       1.1   อนุสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม(Paris Convention for the Protection of Industrial Property) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า  Paris Convention นั้น เป็นหลักการเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมที่ประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีจะต้องถือปฏิบัติ เพราะจะเป็นการลดช่องว่างของการจัดให้มีการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมประเภทต่างๆของแต่ละประเทศให้ลดน้อยลง

      1.2   ประเภทของทรัพย์สินอุตสาหกรรมที่ได้รับการคุ้มครองตาม  Paris Convention ได้แก่  สิทธิบัตร  อนุสิทธิบัตร  การออกแบบอุตสาหกรรม  เครื่องหมายการค้า  เครื่องหมายบริการ  ชื่อทางการค้า  สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์  และการแข่งขันอันไม่เป็นธรรม

 2    อนุสัญญากรุงปารีสมีความสำคัญอย่างไร

     2.1   ความสำคัญของอนุสัญญากรุงปารีส คือ ประเทศใดที่ต้องการที่จะเข้ามาเป็นภาคีสมาชิกของ PCT  ประเทศนั้นจะต้องสมัครเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงปารีสก่อน

     2.2   ประเทศสมาชิกของ PCT  จะต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายสิทธิบัตรที่มีมาตราฐานขั้นต่ำสอดคล้องกับอนุสัญญากรุงปารีส

 3    หลักการสำคัญของอนุสัญญากรุงปารีส

Paris Convention ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 3 ประการคือ

     3.1   หลักการให้ผลปฏิบัติอย่างคนชาติ  (national treatment)

             ประเทศสมาชิกมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมของประชาชนของประเทศสมาชิกอื่นเช่นเดียวกับประชาชนในประเทศตนเองโดยไม่เลือกปฏิบัติ

     3.2   หลักการให้สิทธินับวันยื่นครั้งแรก (right of priority)

             ประเทศสมาชิกจะต้องให้ความคุ้มครองแก่คนของประเทศสมาชิกอื่นที่ยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้าในประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นครั้งแรกและต่อมาภายใน 12 เดือน(สำหรับสิทธิบัตร) หรือ 6 เดือน (สำหรับเครื่องหมายการค้าและการออกแบบผลิตภัณฑ์) ผู้ขอได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้านั้นในประเทศอื่นอีก ให้ถือว่าการขอยื่นจดทะเบียนครั้งหลังได้ยื่นขอในวันที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนครั้งแรก

     3.3  หลักการที่ประเทศภาคีจะต้องถือปฏิบัติ (common rules)

(1)  สิทธิบัตร (Patents) มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้

        ผลของการจดทะเบียนไม่ผูกพันประเทศภาคีอื่น กล่าวคือ สิทธิบัตร ที่ออกให้ในประเทศใดประเทศหนึ่งจะไม่มีผลผูกพันประเทศอื่นให้ต้องคุ้มครองการประดิษฐ์หรือออกแบบผลิตภัณฑ์  หากต้องการที่จะได้รับความคุ้มครองจะต้องนำการประดิษฐ์หรือออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นไปยื่นขอจดทะเบียนในประเทศสมาชิกที่ต้องการได้รับความคุ้มครองอีกต่างหาก  และเป็นสิทธิของแต่ละประเทศที่จะพิจารณารับจดทะเบียน

        -ประเทศสมาชิกต้องให้สิทธิแก่ผู้ประดิษฐในอันที่จะให้มีการระบุชื่อของตนสิทธิบัตร

       -ประเทศสมาชิกมีอำนาจที่จะกำหนดมาตรการบังคับในกรณีที่เจ้าของสิทธิบัตรใช้สิทธิโดยไม่ถูกต้อง

                   (2) เครื่องหมายการค้า (Trademarks) มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้

        -ผลของการจดทะเบียนไม่ผูกพันประเทศภาคีอื่น  กล่าวคือ เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศภาคีประเทศใดประเทศหนึ่งไม่มีผลผูกพันประเทศอื่นให้ต้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้านั้นด้วย  เจ้าของเครื่องหมายการค้าต้องไปยื่นขอจดทะเบียนในประเทศสมาชิกอื่นที่ต้องการได้รับความคุ้มครอง และเป็นสิทธิของแต่ละประเทศที่จะพิจารณารับจดทะเบียน

       -ประเทศภาคีมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลาย (well-known and collective marks) แม้เครื่องหมายการค้านั้นจะไม่ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศหรือถ้าปรากฏว่าได้รับจดทะเบียนให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของ ก็จะต้องเพิกถอนการรับจดทะเบียนนั้น

       -ประเทศภาคีมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองสำหรับเครื่องหมายบริการและเครื่องหมายร่วม (service marks and collective marks)

       -ประเทศภาคีมีหน้าที่จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการเพิกถอนเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้แล้ว  โดยที่เครื่องหมายการค้านั้นจะต้องไม่มีการใช้เป็นระยะเวลาติดต่อกันพอสมควร และผู้จดทะเบียนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุผลอันสมควร

             (3) แบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม (Industrial Designs)

       ประเทศภาคีจะต้องให้ความคุ้มครองแก่แบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมและจะต้องไม่ปฏิเสขการให้ความคุ้มครองโดยมีเหตุผลแต่เพียงว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ผลิตในประเทศสมาชิก

(4) ชื่อทางการค้า (Trade Names)

       ประเทศภาคีจะต้องให้ความคุ้มครองแก่ชื่อทางการค้าโดยไม่บังคับว่าจะต้องมีการจดทะเบียน (ชื่อบุคคลหรือชื่อนิติบุคคล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คุ้มครองอยู่แล้ว)

(5) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Indications of Source or Appellations of origin)

       ประเทศภาคีจะต้องกำหนดให้มีมาตรการป้องกันการใช้โดยตรงหรือโดยอ้อมซึ่งคำแสดงแหล่งกำเนิดของสินค้า ผู้ผลิต หรือผู้ขายอันไม่ตรงกับความจริง

(6) การแข่งข้นอันไม่เป็นธรรมในทางการค้า (Unfair Competition)

      ประเทศภาคีจะต้องกำหนดให้มีการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการแข่งขันอันไม่เป็นธรรมทางการค้า

(7) การบริหาร (Administration)

        ประเทศภาคีจะต้องมีสำนักงานกลาง (Central office) เพื่อให้บริการด้านทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมและต้องออกวารสารเพื่อโฆษณาการออกสิทธิบัตรหรือการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

 

ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเข้าเป็นสมชิก Paris Convention

       1  ประชาชนคนไทยจะได้รับการปฏิบัติในด้านทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมในประเทศสมาชิกอื่นเช่นเดียวกับที่ประเทศสมาชิกเหล่านั้นให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนในประเทศของเขา

     2   ทำให้คนไทยสามารถคุ้มครองสิทธิในทางทรัพย์สินอุตสาหกรรม เช่น สิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าที่ถูกละเมิดในต่างประเทศได้ง่าย รวดเร็๋ว และประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น

     3   คนไทยจะได้รับสิทธิในการขอให้นับวันยื่นย้อนหลัง (right of priority) หากได้ยื่นคำขอในประเทศที่เป็นสมาชิกอนุสัญญากรุงปารีสเป็นครั้งแรก และต่อมาได้ยื่นตำร้องขอจดทะเบียนการประดิษฐเดียวกันในประเทศสมาชิกอื่นๆ  ในกรณีนี้ จะถือว่าการยื่นคำขอจดทะเบียนครั้งหลังได้ยื่นในวันที่ยื่นขอจดทะเบียนครั้งแรก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยในการที่จะนำมาอ้างว่าตนมีสิทธิที่ดีกว่าคนอื่นที่ยื่นคำขอในประเทศสมาชิกภายหลัง

     4   ทำให้ประเทศต่างๆในโลกมองภาพพจน์ของประเทศไทยเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมดีขึ้น

     5   เป็นการส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ที่เป็นเทคโนโลยีทางด้านต่างๆจากต่างประเทศมากขึ้น เพราะการที่ประเทศไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมก็เท่ากับได้ให้หลักประกันในการให้ความคุ้มครองเทคโนโลยีของสังคมโลกแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนให้นักประดิษฐ์และผู้ลงทุนจากต่างประเทศมายื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทยมากขึ้น

     6   ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลและเอกสารวิชาการด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่ขอรับสิทธิบัตรได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายขึ้น ซึ่งสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมา ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาเพื่อปรับปรุงรูปแบบและเพิ่มสมรรถนะขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมของไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นต่อไป

     7   ประเทศไทยไม่ต้องเสียค่าสมาชิกในการเข้าเป็นสมาชิกอนุสัญญากรุงปารีสเนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยได้เป็นสมาชิกสหภาพเบิร์นภายใต้อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ค.ศ.1886 แก้ไขเพิ่มเติม ณ กรุงปารีส ค.ศ.1971 และ ค.ศ.1979 ซึ่งประเทศไทยได้เสียค่าบำรุงสมาชิกภาพแก่สหภาพเบิร์นอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเงินให้แก่สหภาพปารีสอีก

 

สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตรคืออะไร

           สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร หรือที่เรียกกกันทั่วๆไปว่า PCT เป็นสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิทธิบัตร ที่วางระบบและกฎเกณฑ์ให้ประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกต้องปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าวถือกำเนิดมาจากการศึกษาวิจัยเพื่อหาทางแก้ปัญหาความไม่สะดวกในการขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในระบบดั้งเดิม โดยให้สามารถยื่นคำขอเพียงครั้งเดียวก็สามารถระบุให้คำขอนั้นมีผลผูกพันไปยังประเทศต่างๆได้หลายประเทศตามที่ผู้ยื่นคำขอต้องการ อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของผู้ยื่นคำขอและสำนักงานสิทธิบัตรของแต่ละประเทศ ดังนั้น ประเทศต่างๆจึงได้มีการจัดประชุม จึงเพื่อยกร่างสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านสิทธิบัตรที่ได้มีการลงนาม ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน  ค.ศ.1970 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1978 ซึ่งในขณะนั้นมีประเทศสมาชิกทั้งสิ้น 18 ประเทศ

กระบวนการขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรภายใต้ระบบ PCT

        การยื่นคำขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในระบบ PCT จะประกอบด้วยการดำเนินการ 2 ส่วนคือ การดำเนินการระดับในระหว่างประเทศ (International Phase) และการดำเนินการในระดับภายในประเทศ (National Phase)

ก. การดำเนินการในระดับระหว่างประเทศ

      1   การยื่นคำขอระหว่างประเทศ

           ผู้ยื่นคำขอเป็นผู้มีสัญชาติหรืออาศัยอยู่ในประเทศภาคีแห่งใดแห่งหนึ่งยื่นทำการยื่น "คำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (International Phase)

      2   สถานที่ยื่นคำขอระหว่างประเทศ

           ผู้ยื่นคำขอสามารถยื่นคำขอ ณ สำนักงานสิทธิบัตรที่รับคำขอในประเทศ (Receiving Office) หรือยื่นตรงต่อสำนักงานสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (International Bureau) ของ WIPO

      3   การดำเนินการภายหลังการยื่นคำขอของสำนักงานสิทธิบัตรที่รับคำขอ

           เมื่อสำนักงานได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของคำขอระหว่างประเทศที่ผู้ขอได้ยื่นแล้ว สำนักงานก็จะดำเนินการออกวันยื่นคำขอ (Filing Date) และจัดส่งคำขอฉบับหนึ่งไปยัง WIPO เพื่อเป็น Record Copy และสำเนาคำขอฉบับที่ 2 จะจัดส่งไปยังสำนักงานสิทธิบัตรที่มีอำนาจในการสืบค้น เพื่อเป็น Search Copy และสำเนาคำขอฉบับที่ 3 จะเก็บเอาไว้ที่สำนักงานเพื่อเป็น Home Copy

      4   การชำระค่าธรรมเนียม

           ค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอที่จะต้องชำระ ณ สำนักงานรับคำขอจะมีเพียงค่าธรรมเนียมที่มีลักษณะเป็น Single set fee กล่าวคือจะเป็นค่าธรรมเนียมที่จ่ายเป็นชุดในคราวเดียวซึ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมในการจัดส่งเอกสาร (Transmittal Fee) ค่าธรรมเนียมการตรวจค้น (Search Fee) และค่าธรรมเนียมการประกาศโฆษณา (Publication Fee) โดยค่าธรรมเนียมจะผันแปรไปตามจำนวนประเทศที่ผู้ขอระบุเพื่อขอรับความคุ้มครอง แต่อย่างไรก็ตามหากประเทศใดที่มีจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่า 3,000 USD ต่อปี จะได้รับการลดหย่อน 75% ของค่าธรรมเนียมปกติ

      5   ภาษาที่ใช้ในการยื่นคำขอระหว่างประเทศ

          ผู้ยื่นคำขอสามารถใช้ภาษาใดก็ได้ที่กำหนดโดยสำนักงานที่รับคำขอนั้นๆในการยื่นคำขอ  แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ยื่นคำขอยื่นคำขอโดยใช้ภาษาที่ไม่ได้กำหนดไว้สำหรับการสืบค้น (Searching) และการประกาศโฆษณา (Publication) ซึ่งภาษาดังกล่าวประกอบด้วย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศล เยอรมัน ญี่ปุ่น รัสเซีย และสเปน ผู้ยื่นคำขอจะต้องจัดทำคำแปลสำหรับคำขอนั้นด้วย

      6   การสืบค้นคำขอระหว่างประเทศ

           การสืบค้นคำขอระหว่างประเทศ จะกระทำโดยสำนักงานที่มีอำนาจสืบค้นคำขอระหว่างประเทศ (International Search Authority:ISA) โดยสำนักงานจะทำการสืบค้นจากเอกสารสิทธิบัตรของประเทศต่างๆ รวมทั้งเอกสารวิชาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการสืบค้นงานที่ปรากฏอยู่แล้วที่เกี่ยวข้อง (Prior Art) รวมถึงเรื่องของความใหม่ (Novelt y) และการประดิษฐ์สูงขึ้นด้วย (Inventive Step) หลังจากนั้นสำนักงานจัดทำรายงานการตรวจค้นและส่งไปยัง WIPO เพื่อดำเนินการต่อไป

     7   การประกาศโฆษณาคำขอระหว่างประเทศ

          เมื่อสำนักงานสิทธิบัตรระหว่างประเทศของ WIPO ได้รับการสืบค้นแล้ว สำนักงานจะทำการประกาศโฆษราคำขอดังกล่าว โดยจัดพิมพ์ขึ้นในลักษณะจดหมายเหตุ (PCT Gazette) และข้อมูลทางอีเลคโทรนิกส์ ต่อจากนั้นจะทำการจัดส่งประกาศโฆษณาดังกล่าวไปยังประเทศสมาชิกทุกประเทศ

     8   การตรวจสอบการประดิษฐ์ระหว่างประเทศเบื้องต้น

          โดยปกติภายหลังจากที่มีการประกาศโฆษณาคำขอระหว่างประเทศแล้ว การดำเนินการในระดับการยื่นคำขอระหว่างประเทศจะสิ้นสุดลง แต่อย่างไรก็ดี ผู้ยื่นคำขออาจขอให้มีการตรวจสอบการประดิษฐ์เบื้องต้น (Internation Preliminary Examination) โดยสำนักงานสิทธิบัตรของประเทศที่มีอำนาจในการตรวจสอบการประดิษฐ์เบื้องต้น (Internation Preliminary Examination Authority:IPEA) ซึ่งในการตรวจสอบบนพื้นฐานของผลในรายงานการสืบค้น โดยการตรวจสอบดังกล่าวจะเป็นการตรวจสอบในเรื่องของความใหม่ ขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และการประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม

ข.การดำเนินการในระดับภายในประเทศ

     1   การดำเนินการในระดับภายในประเทศ

          โดยปกติเมื่อขั้นตอนการดำเนินการยื่นคำขอในระดับระหว่างประเทศสิ้นสุดลง ผู้ขอจะต้องดำเนินการยื่นคำขอในระดับภายในประเทศ ภายใน 20 เดือนนับตั้งแต่วันยื่นคำขอระหว่างประเทศครั้งแรก แต่หากผู้ยื่นคำขอขอให้มีการดำเนินการตรวจสอบคำขอเบื้องต้น ระยะเวลาดังกล่าวจะขยายเป็น 30 เดือน อย่างไรก็ตามช่วงระยะเวลาดังกล่าวอาจมีการขยายออกไปอีก โดยขึ้นอยู่กับกฎหมายภายในประเทศนั้น

          ในกรณีที่ประเทศที่จะรับความคุ้มครองกำหนดเงื่อนไขของภาษาที่แตกต่างไปจากที่ใช้ในการดำเนินการระดับระหว่างประเทศ ผู้ยื่นคำขอจะต้องยื่นคำแปลของคำขอรับสิทธิบัตรดังกล่าวในภาษาตามที่กำหนดในประเทศนั้นๆด้วย

          การชำระค่าธรรมเนียมภายในประเทศ (Nationnal fee) ซึ่งโดยปกติจะเป็นอัตราเดียวกันกับการยื่นคำขอในระบบปกติในประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตามมีบางประเทศที่กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่น้อยกว่าค่าธรรมเนียมในอัตราปกติ หรือขอคืนค่าธรรมเนียมได้ในกรณีที่ผลการสืบค้นและผลการตรวจสอบเบื้องต้นเป็นที่ยอมรับในประเทศนั้นๆ

     2   การดำเนินการของสำนักสิทธิบัตรที่ผู้ขอประสงค์จะขอรับความคุ้มครอง

         เมื่อสำนักงานสิทธิบัตรของประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะได้รับความคุ้มครองได้รับคำขอจากผู้ขอ รวมทั้งค่าธรรมเนียมและเอกสารประกอบต่างๆ ตามข้อกำหนดของกฎหมายภายในของประเทศนั้นๆ สำนักงานสิทธิบัตรดังกล่าวก็จะดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ของแต่ละประเทศต่อไป

        ในการนี้เห็นได้ว่าสำนักงานสิทธิบัตรของแต่ละประเทศมีอิสระในการที่จะพิจารณารายงานผลการสืบค้นหรือผลการตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นประการใดขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่สำนักงานสิทธิบัตรของแต่ละประเทศกำหนดไว้

        ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาดังกล่าวทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนภายในประเทศ ดังนี้

     1   เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถนำผลงานใหม่ๆไปยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรในต่างประเทศได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

     2   คนไทยจะได้รับประโยชน์จากผลการสืบค้น และผลการตรวจสอบเบื้องต้นระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสขคำขอจดทะเบียนในประเทศภาคีต่างๆ

     3   เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าไปขายยังตลาดต่างประเทศว่าสินค้าของตนจะไม่ถูกลอกเลียนแบบ

     4   เป็นการจูงใจให้ชาวต่างชาติมายื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทยมากขึ้น และจะส่งผลให้มีการลงทุนในประเทศมากขึ้นอีกด้วย

     5   ในกรณีคนไทยที่เป็นนักประดิษฐ์และต้องการหาผู้ที่จะมาเป็นผู้รับอนุญาตใช้สิทธิบัตรของตน แต่ไม่มีทุนรอนที่จะต้องไปขอดำเนินการในขั้นระดับภายประเทศก็สามารถใช้ช่วงเวลาตามข้อ ข.1  ซึ่งมีเวลาถึง 20-30 เดือนหรือมากกว่านั้น (ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ) ในการหาผู้รับอนุญาตและกำหนดให้ผู้รับอนุญาตเป็นผู้เสียค่าดำเนินการในขั้นระดับภายในประเทศแทนก็ได้

ขั้นตอนภายใต้ระบบ PCT

       1   กระบวนการภายใต้ระบบ PCT ได้กำหนดขั้นตอนในการจดทะเบียนไว้เป็น 2 ขั้นตอน

            1.1   ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (International Phase) และ

            1.2   ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรในแต่ละประเทศ (National Phase)

     ระบบ PCT     -ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (Internation Phase)

                          -ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรภายในประเทศ (National Phase)

       2   กระบวนการภายใต้ระบบ PCT นี้จะเริ่มต้นเมื่อผู้ยื่นขอจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติหรืออยู่อาศัยในประเทศภาคีแห่งใดแห่งหนึ่งของสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านสิทธิบัตร ยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (International Application) ต่อสำนักงานสิทธิบัตรที่รับคำขอ (Receiving Office) อันได้แก่ สำนักงานสิทธิบัตรภายในประเทศที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือยื่นโดยตรงต่อสำนักงานสิทธิบัตรระหว่างประเทศขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (The International Bureau of WIPO)

      3   เมื่อสำนักงานฯได้ทำการตรวจสอบคำขอขั้นพื้นฐานแล้ว (Basic Examination) ก็จะออกวันที่ยื่นจดทะเบียนระหว่างประเทศ (filing date)

      4   คำขอดังกล่าวจะถูกส่งไปยังสำนักงานสิทธิบัตรที่มีอำนาจค้น (Internation Seach Authority หรือ ISA) เพื่อทำการตรวจค้นเอกสารซึ่งเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วที่เกี่ยวข้อง (Prior Art Search Result)

      5   หลังจากกระบวนการตรวจสอบเสร็จสิ้นลง ISA ก็จะทำรายงานการตรวจสอบข้อมูลระหว่างประเทศ (International Search Report หรือ ISR) และส่งถึงผู้ยื่นขอภายใน 16 เดือนนับจากวันที่ได้ยื่นคำขอเป็นครั้งแรก

      6   รายงานอีกฉบับหนึ่งถึงสำนักงานสิทธิบัตรระหว่างประเทศแห่ง WIPO เพื่อทำการประกาศโฆษณาภายใน 18 เดือนหลังจากวันที่ยื่นคำขอหรือวันที่อ้างสิทธิการยื่นจดทะเบียนครั้งแรก

      7   ผู้ยื่นคำขออาจเลือกขอให้สำนักงานตรวจสอบระหว่างประเทศเบื้องต้น (IPEA) ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ ความใหม่ ขั้นการประดิษฐ์ และการประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ในการเลือกประเทศที่ตนประสงค์จะขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรได้

ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (International Phase)

1 ) คำขอ PCT

2) Receiving Office –ตรวจสอบพื้นฐาน -ออก filing date 2 The International Bureau of WIPO

  1. International Search Authority (ISA)-ตรวจค้นงานที่ปรากฏอยู่แล้วที่เกี่ยวข้อง
  2. International Search Report (ISR)
  3. ส่งข้อมูลแจ้งผู้ยื่นคำขอ (ทางเลือก)----IPEA 5 ส่งข้อมูลให้ The International Bureau of WIPO
  4. ประกาศโฆษณา
  5. ตัดสินใจเลือกประเทศ 1 –2-3
  1. ปัจจุบันสำนักงานสิทธิบัตรที่มีอำนาจในการตรวจค้นคำขอรับสิทธิบัตรระหว่างประเทศมี 12 แห่งได้แก่

       

  1. สำนักงานสิทธิบัตรออสเตรเลีย
  2. สำนักงานสิทธิบัตรออสเตรีย
  3. สำนักงานสิทธิบัตรจีน
  4. สำนักงานสิทธิบัตรยุโรป
  5. สำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น
  6. สำนักงานสิทธิบัตรรัสเซีย
  7. สำนักงานสิทธิบัตรสเปน
  8. สำนักงานสิทธิบัตรสวีเดน
  9. สำนักงานสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา
  10. สำนักงานสิทธิบัตรแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
  11. สำนักงานสิทธิบัตรแคนนาดา
  12. สำนักงานสิทธิบัตรฟินแลนด์

      

  1. ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอมีความประสงค์ที่จะขอให้มีการตรวจสอบระหว่างประเทศเบื้องต้นก็สามารถทำได้โดยทำเป็นคำร้องหรือที่เรียกว่า “Demand” เพื่อขอทำการตรวจสอบระหว่างประเทศเบื้องต้น (Internation Preliminary Examination หรือ IPE) โดยสำนักงานตรวจสอบข้อมูลระหว่างประเทศเบื้องต้น (International Preliminary Examination Authority หรือ IPEA)
  2. คำร้องดังกล่าวจะต้องยื่นก่อนวันที่สิ้นสุดระยะเวลา 19 เดือนนับจากวันที่ยื่นขอเป็นครั้งแรก และให้เลื่อนการเข้าสู่ขั้นตอนภายในประเทศ (Delay of National Phase) ออกไปจาก 20 เดือนหลังวันที่ยื่นขอครั้งแรกจนกระทั่งถึง 30 เดือนหลังวันที่เช่นว่านั้น รวมถึงให้โอกาสผู้ยื่นขอที่จะยื่นขอแก้ไขคำขอจดทะเบียนได้
  3. ผลการตรวจสอบระหว่างประเทศเบื้องต้นจะเป็นความเห็นที่ไม่ผูกพัน (Non-binding Opinion) โดย IPEA จะให้ความเห็นว่าสิ่งประดิษฐ์ที่กล่าวอ้างนั้นประกอบไปด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้หรือไม่ กล่าวคือ ความใหม่ ขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และการประยุกต์ใช้ได้ในทางอุตสาหกรรม
  4. รายงานฉบับหนึ่งจะถูกส่งจะส่งไปยังผู้ยื่นขอภายใน 28 เดือนนับจากวันที่ยื่นขอเป็นครั้งแรก และฉบับอื่นๆ จะส่งไปยังสำนักงานที่ระบุไว้เพื่อขอรับความคุ้มครอง ซึ่งขั้นตอนระหว่างประเทศ (International Phase) ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้น 30 เดือน
  5. สำนักงานตรวจสอบข้อมูลระหว่างประเทศเบื้องต้น มีทั้งหมด 10 แห่งคือ
  1. สำนักงานสิทธิบัตรออสเตรเลีย
  2. สำนักงานสิทธิบัตรออสเตรีย
  3. สำนักงานสิทธิบัตรจีน
  4. สำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (EPO)
  5. สำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น
  6. สำนักงานสิทธิบัตรรัสเซีย
  7. สำนักงานสิทธิบัตรสวีเดน
  8. สำนักงานสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา
  9. สำนักงานสิทธิบัตรแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
  10. สำนักงานสิทธิบัตรแคนนาดา (เริ่มดำเนินการ 26 ก.ค. 2547)

     

     14.    ภายใน 20 เดือน(ในกรณีที่ไม่มีการขอให้ตรวจสอบระหว่างประเทศเบื้องต้น) หรือ 30 เดือน (ในกรณีที่มีการขอให้ตรวจสอบระหว่างประเทศเบื้องต้น) นับจากวันที่ยื่นคำขอ PCT ก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนภายในประเทศ (National Phase Entry)

    15.   ในขั้นตอนนี้ คำขอที่ยื่นเข้ามาจะเรียกว่า คำขอจดทะเบียนภายในประเทศ (National Application) ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดรวมถึงการตรวจสอบจะเป็นขั้นตอนตามปกติในการยื่นคำขอจดทะเบียนภายในประเทศ และผู้ยื่นคำขอต้องชำระค่าธรรมเนียมภายในประเทศด้วย

    16.   ภายใต้ระบบ PCT นอกจากผู้ยื่นคำขอจะระบุเลือกให้คำขอของตนมีผลในประเทศที่เป็นสมาชิกของ PCT แล้ว ผู้ยื่นคำขอยังสามารถระบุเลือกให้คำขอฯของตนให้ได้รับความคุ้มครองสิทธิบัตรในสำนักงานภูมิภาคเหล่านี้ได้อีกด้วย คือ

-สำนักงานสิทธิบัตรแห่งยุโรป (European Patent Office หรือ EPO)

-สำนักงานสิทธิบัตรสหพันธรัฐรัสเซีย (Eurasian Patent Office หรือ EAPO)

-สำนักงานทรัพย์สินอุตสาหกรรมแห่งภาคพื้นแอฟริกา (African Regional Industrial Property Organization หรือ ARIPO และ

-สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแห่งแอฟริกา (African Intellectual Property Orgainzation หรือ AOPI)

 

 

ประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับจากการที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก PCT

  1. เปิดโอกาสให้คนไทย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักประดิษฐ์ สามารถนำผลงานใหม่ๆ ที่คิดค้นได้ไปยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศสมาชิก ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นเนื่องจาก สามารถยื่นคำขอเพียงครั้งเดียวก็สามารถระบุประเทศที่ต้องการให้คำขอมีผลผูกพันในประเทศสมาชิกกี่ประเทศก็ได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยื่นคำขอด้วยตนเองในทุกประเทศ
  2. หากผู้ยื่นคำขอประสงค์จะให้มีการตรวจสอบถึงความเป็นไปได้ที่จะได้รับสิทธิบัตรเช่น ในเรื่องของ ความใหม่ ขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และการประยุกต์ใช้ได้ในทางอุตสาหกรรม ก็ทำได้โดยยื่นคำร้องขอให้สำนักงานตรวจสอบข้อมูลระหว่างประเทศเบื้องต้นทำการตรวจสอบ ผลของรายงานที่ได้รับ ผู้ขอสามารถนำมาประกอบการตัดสินใจว่าจะดำเนินการขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรต่อไปหรือไม่ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธคำขอจดทะเบียนในประเทศสมาชิกต่างๆ
  3. เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจาก ในระบบเดิม หากผู้ยื่นคำขอต้องการขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศต่างๆ จำนวน 10 ประเทศ ผู้ยื่นคำขอจะต้องเดินทางไปยื่นคำขอทั้งใน 10 ประเทศ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมค่าใช้จ่ายต่างๆ จำนวนมาก เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าดำเนินการในการยื่นคำขอใน 10 ประเทศ หากไม่เดินทางไปเองก็จะต้องแต่งตั้งตัวแทนเพื่นดำเนินการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในทุกประเทศ ซึ่งนับได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล
  4. เป็นโอกาสดีสำหรับคนไทยที่จะขยายตลาดโดยนำสินค้าไปขายในต่างประเทศด้วยความมั่นใจว่าสินค้าตัวใหม่ที่ส่งไปขายนั้นจะไม่ถูกละเมิดหรือลอกเลียนแบบแล้วนำมาผลิตขายแข่งกับสินค้าของตน ทำให้เกิดความมั่นคงในการลงทุนซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการส่งออกของไทยตามไปด้วย
  5. เป็นการจูงใจให้คนต่างประเทศมายื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเกิดการลงทุนในประเทศไทยมาขึ้น เพราะคนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นในระบบสิทธิบัตรของประเทศไทย
  6. เกิดรายได้เพิ่มเติมสำหรับหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (Receiving Office) ซึ่งต่อไปอาจจะทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อขอนำรายได้ส่วนนี้จัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยของนักประดิษฐ์ไทยและเป็นทุนสนับสนุนการจดทะเบียนสิทธิบัตรของคนไทยในต่างประเทศต่อไป

พรชัย  ศิรินุกูลชร เรียบเรียง  จากเอกสารสัมนา 28/11/49 "การจดทะเบียนสิทธิบัตรด้วยระบบ PCT " กรมทรัพย์สินทางปัญญา

go back........

 

 

จำนวนประเทศสมาชิก Paris Convention และ PCT

1.   ประเทศสมาชิกของ Paris Convention

              1.1   จำนวนประเทศสมาชิกของอนุสัญญากรุงปารีส  ประกอบด้วยประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา นับถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2549 มีทั้วสิ้น  169  ประเทศ

             1.2   ในภูมิภาคเอเซีย ประเทศที่เป็นสมาชิกของ Paris Convention แล้ว ได้แก่                                      

   -ญี่ปุ่น เป็นสมาชิกเมื่อ 15 กรกฏาคม 2442

   -เวียตนาม เป็นสมาชิกเมื่อ 8 มีนาคม 2492

   -อินโดนีเซีย เป็นสมาชิกเมื่อ 24 ธันวาคม 2493

   -ฟิลิปปินส์ เป็นสมาชิกเมื่อ 27 กันยายน 2508

   -เกาหลีใต้ เป็นสมาชิกเมื่อ 4 พฤษภาคม 2523

   -จีน เป็นสมาชิกเมื่อ 19 มีนาคม 2528

   -มาเลเซีย เป็นสมาชิกเมื่อ 1 มกราคม 2532

   -สิงคโปร์ เป็นสมาชิกเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2538

   -กัมพูชา เป็นสมาชิกเมื่อ 22 กันยายน 2541

   -ลาว เป็นสมาชิกเมื่อ 8 ตุลาคม 2541

2.   ประเทศสมาชิกของ PCT

   2.1   ประเทศสมาชิกของสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านสิทธิบัตรประกอบด้วยประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา นับถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2549 จำนวนทั้งสิ้น 133 ประเทศ

  2.2   ในภูมิภาคเอเซีย ประเทศที่เป็นสมาชิก PCT แล้วได้แก่

   

-ญี่ปุ่น             เป็นสมาชิกเมื่อ     1  ตุลาคม 2521

-เกาหลีใต้      เป็นสมาชิกเมื่อ    10  สิงหาคม 2527

-เวียตนาม      เป็นสมาชิกเมื่อ    10  มีนาคม 2536

-จีน                 เป็นสมาชิกเมื่อ     1  มกราาคม 2537

-สิงคโปร์        เป็นสมาชิกเมื่อ    23 กุมภาพันธ์ 2538

-อินโดนีเซีย   เป็นสมาชิกเมื่อ     5 กันยายน 2540

-ฟิลิปปินส์      เป็นสมาชิกเมื่อ    17 สิงหาคม 2544

-มาเลเซีย       เป็นสมาชิกเมื่อ    16 สิงหาคม 2549

3.   ประเทศเพื่อนบ้านที่เป้็นสมาชิกของ Paris Convention แต่ไม่ได้เป็นสมาชิก PCT

       ในภูมิภาคเอเซีย ประเทศเพื่อนบ้านของไทยส่วนใหญ่เป็นสมาชิก Paris Convention แล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก PCT ได้แก่ประเทศ กัมพูชา และลาว

   1.   ญี่่ปุ่น         15 ก.ค. 2442         1  ต.ค. 21

   2.   เวียตนาม   8 มี.ค. 2492         10 มี.ค. 36

   3.   อินโดนีเซีย  24 ธ.ค. 2493     5 ก.ย. 40

   4.   ฟิลิปปินส์     27 ก.ย. 2508     17 ส.ค. 44

   5.   เกาหลี           4 พ.ค. 2523      10  ส.ค. 27

   6.   จีน                 19 มี.ค. 2528      1  ม.ค. 37

   7.   มาเลเซีย       1 ม.ค. 2532      16 ส.ค. 49

   8.   สิงคโปร์        23 ก.พ. 2541    23ื ก.พ. 38,

   9   กัมพูชา         22 ก.ย.  2541    ยังไม่เข้า PCT

   10  ลาว               8 ต.ค. 2541      ยังไม่เข้า PCT

   11  ไทย             ยังไม่เข้า          ยังไม่เข้า

  จัดทำรายงานโดย พรชัย  ศิรินุกูลชร

11/4/50

 

 

##detail##


         

Copyright 2006, bangbuathong.org All rights reserved.